วันเสาร์ที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2563

มิมี่ ลีเดอร์ ผู้กำำกับทรงป้า กับงานระห่ำ ของเธอ

หากเห็นอีป้า ทรงเหมือนเจ๊เก็บค่าเช่าแผงในตลาดคนนี้ เดินไปเดินมาอยู่ในงานเปิดตัวหนัง หรืองานกาล่าที่ไหนสักที่

อย่าได้ไปลองภูมิเรื่องเกี่ยวกับอะไรแมนๆ เพราะนี่คือ มิมี่ เลเดอร์ ผู้กำกับหญิงที่เคยเป็นที่ไว้วางใจจาก สตีเว่น สปีลเบิร์ก ให้กำกับหนังแมนๆอย่าง The Peacemaker (1997) หรือชื่อไทย หยุดนิวเคลียร์มหาภัยถล่มโลก มาแล้ว หนังสร้างจากหนังสื่อ One Point Safe ของ เลสลี่ย์ และ แอนดรูว์ ค็อกเบิร์น ซึ่งเป็นหนังสือที่ สตีเว่น สปีลเบิร์ก ชอบมาก


และตั้งใจจะทำให้มันเป็นหนัง ทว่าบทหนังมันดันมีความคล้ายคลึง James Bond 007 อยู่มาก พ่อมดแห่งฮอลลีวู้ดจึงมองหาใครสักคนที่จะมากำกับมันภายใต้ชายคาค่ายหนัง DreamWorks Pictures ที่เขาเพิ่งก่อตั้ง The Peacemaker คือหนังเปิดหัวชิ้นแรกของค่าย หนังใหม่เต็มเรื่อง และมันคือหนังแอ็คชั่นแมนๆ ที่จะกำกับโดยสาวทรงป้าอย่าง มิมี่ เลเดอร์ อดีตผู้ดูแลสคริปต์และผู้กำกับ (บางตอน)ข องซีรี่ส์ ER ซึ่งเป็นซีรี่ส์ที่สร้างสรรค์โดย ไมเคิล ไครช์ตัน มิตรสหายผู้ประพันธ์ Jurassic park อันลือลั่นของเขา " เธอคนนี้แหละที่จะมาทำอะไรให้พวกผู้ชายทึ่ง" สปีลเบิร์กไว้วางใจผู้กำกับที่เขายอมปล่อยให้ทำโปรเจ็คเปิดหัวค่ายด้วยทุน 50 ล้านเหรียญ จอร์จ คลูนี่ย์ ตาม มิมี่ เลเดอร์ มาจากซีรี่ส์ ER เพื่อรับบทพระเอกนักบู๊ ร่วมด้วย นิโคล คิดแมน ที่จะมาร่วมกันหยุดมหานิวเคลียร์ที่ผู้ก่อการร้ายแบกมันใส่เป้เดินพล่านไปทั่วเมือง หนังถือเป็นงานแอ็คชั่นอยู่ในระดับดูสนุกใช้ได้ จากฝีมือผู้กำกับหญิงทรงป้าที่ไม่เคยทำหนังใหญ่มาก่อน แถมเป็นหนังแอ็คชั่นแมนๆที่พูดถึงยุทธวิธีทางทหารอีก แต่ป้ามิมี่ก็แสดงให้เห็นว่าสปีลเบิร์กเลือกคนไม่ผิด เพราะเธอคือผู้ที่ศึกษาเรื่องแมนๆอะไรพวกนี้อยู่แล้ว มันจึงค่อนข้างง่ายสำหรับเธอ และเธอได้ดาราที่ทุ่มเทระดับ จอร์จ คลูนี่ย์ ที่ในตอนนั้นไม่ได้เป็นเบอรืใหญ่อะไร และเขาแสดงฉากเสี่ยงๆด้วยตัวเองทั้งหมด ทั้งโรยตัวลงจากเฮลิค็อปเตอร์ ทั้งตีต่อย ยิงปืน

หนังใหม่เต็มเรื่อง

หนังทำกำไรไปนิดหน่อยราว 110 ล้านเหรียญ อาจเพราะหน้าหนังมีแค่ นิโคล คิดแมน

เป็นตัวดึงดูดคนดู ซึ่งก็ไม่ใช่ทางแอ็คชั่นอะไร ผู้กำกับเองก็ไม่ได้มีชื่อในเรื่องหนังบู๊ แต่จากคำบอกเล่าปากต่อปากทำให้หนังสามารถทำกำรี้กำไรเปิดหัวให้ค่ายน้องใหม่ที่บริหารโดยผู้กำกับสุดเก๋าอย่างสปีลเบิร์ก หลังจากปิดกล้อง The Peacemaker มิมี่ เลเดอร์ ได้ไฟเขียวจากพ่อมดให้ปั้นโปรเจ็ค Deep Impact (1998) ต่อทันที เป็นหนังอุกาบาตถล่มโลก


ที่ต้องมาฉายปีเดียวกับ Armageddon ของ ไมเคิล เบย์ ซึ่งแน่นอนว่ามันจะถูกเอามาเทียบกัน ปี 1998 เป็นปีที่ฮอลลีวู้ดบ้าคลั่งมาก โปรเจ็คใหญ่ๆเดินหน้าชนกันระเนระนาด Saving Private Ryan , Godzilla , Lethal Weapon 4 , The Truman Show ฯลฯ และหนังใหญ่ๆอีกมากมาย ซึ่งล้วนแล้วแต่ฟันกำไรมหาศาลแทบทั้งสิ้น แต่หนึ่งในหนังทำกำไรคือ หนังออนไลน์ Deep Impact ของป้ามิมี่ ที่ฟาดไป 349 ล้านเหรียญ จากทุน 80 ล้านเหรียญ นั่นเพราะเธอได้อานิสงส์จากความมันส์ของ The Peacemaker ที่คอหนังรู้กันดีแล้วว่าสาวทรงป้าอย่าง มิมี่ โรเจอร์ นางไม่ได้มาเล่นๆ ทำหนังนิวเคลียร์ได้มันส์ขนาดนี้ ถ้าขยับไปทำหนังอุกาบาตถล่มโลกจะขนาดไหน แต่กลายเป็นว่า Deep Impact ไม่ได้มาเป็นหนังดาวหางถล่มโลกแนวเอะอะมะเทิ่งอย่างที่ Armageddon เป็น มันคือหนังโลกแตกที่เจาะลึกจิตใจของผู้คนได้ดีทีเดียว เรียกได้ว่าหากมีคนยกเอาหนังดาวหางถล่มโลกมาสักเรื่อง หลายคนย่อมยกเอาหนังดังของ ไมเคิล เบย์ เรื่องนั้นมาอย่างไม่ต้องสงสัย แต่ก็จะมีคนอีกพวกรวมถึงนักวิจารณ์ตามมาเสียบตามมาแซะด้วยหนังที่เข้าฉายปีเดียวกันอย่าง Deep Impact นี่แหละ ว่าเป็นหนังที่มีความเป็นมนุษย์กว่า Armageddon หลายขุมเลยทีเดียว ปัจจุบันแม้ว่า มิมี่ เลเดอร์ จะไม่ได้จับโปรเจ็คหนังสเกลใหญ่บ้าระห่ำอย่างที่เคยสร้างชื่อแล้ว

แต่หากไล่ดูรายชื่อซีรี่ส์หรือหนังเล็กๆที่เธอทั้งโปรดิวซ์และกำกับ จะพบว่าป้ายิ่งแก่ยิ่งเก๋าเกมจริงๆ ซีรี่ส์ The Leftovers และหนังอย่าง On the Basis of Sex คือหนังที่ป้ายังโชว์ความเก๋าอยู่

ได้เงินกู ตั้งแต่เจอชื่อไทยของหนังแล้ว "ให้มันจบที่นรก"

กูว่าตัวอย่างหนังเกาหลี Deliver Us From Evil ว่าเดือดแล้ว ชื่อไทยแม่งเดือดกว่า

กูขอปรบมือให้เลยที่ทีมตั้งชื่อไทยของ M Pictures เลือกชื่อ"ให้มันจบที่นรก" ก็เดือดๆตามตัวอย่างหนังกันไป น่าดู น่าสนับสนุนขึ้นไปอีก ฮั่นแน่!! รู้เลยว่ามึงคิดอะไรอยู่ พูดถึงหนังเกาหลีในบ้านเราถ้าไม่ใช่แนวซอมบี้หรือหนังระดับออสก้าร์อย่าง Parasite ต้องเรียนตามตรงว่ายังไม่ถือว่ามีแฟนๆรอกำตังค์ตีตั๋วเข้าไปดูกันมากมายเหมือนหนังฮอลลีวู้ดนัก


แม้คุณภาพจะสู้หนังฝรั่งได้สบายๆ Deliver Us From Evil ให้มันจบที่นรก เรื่องนี้ดูต่างออกไป อย่างแรกเลยคือหนังใช้โลเคชั่นในไทยกว่า 80% เราจะได้เห็นไอ้พวกเกาหลีมาทำเถื่อนกันในบ้านเราเน้นๆ ว่ากันว่าพยายามใช้โลเคชั่นที่ดูแปลกออกไปจากหนังต่างประเทศ เรื่องอื่นๆที่มาถ่ายในไทย หนังถ่ายทำที่เกาหลี และ หนังใหม่เต็มเรื่อง ญี่ปุ่นด้วย ว่ากันว่าหนังจะเน้นถ่ายฉากบู๊กันยาวๆ แบบไม่ได้ตัดฉับๆๆเหมือนหนังบู๊หลายๆเรื่อง อาจจะไม่ Long take บ้าๆแบบ Old boy แต่เชื่อว่าเดือดแน่นอน เพราะได้ระดับ ฮงกยองพโย ผู้กำกับภาพจากหนังรางวัลออสการ์ Parasite มาดูแลด้านภาพ คิวบู๊เกาหลี vs คิวบู๊ไทย เห็นมีทีมงานสตั๊นท์ไทยเข้าไปมีบทบาทหลักในหนังด้วย แน่นอนว่ารับประกันความระห่ำ ข้อนี้เน้นหน่อย เพราะนี่คืองานกำกับของ ฮง วอนชาน มือเขียนบทสุดจิตจากหนังทริลเลอร์ขึ้นหิ้งอย่าง The Chaser (2008) , The Yellow Sea(2010) และ Confession of Murder (2012) ที่คอหนังเกาหลีคุ้นเคยกันดีกับความดิบเถื่อน  หนังทำลายสถิติ Train To Busan 2 : Peninsula ขึ้นอันดับ 1 ตาราง Box office เกาหลีใต้ และยังเดินหน้าทำเงินไม่หยุด ณ ตอนนี้ หนังได้นักแสดง ฮวังจองมิน มาเชือดเฉือนบทบาทกับ อีจองแจ โดยต่างคนจะรับบทเป็นมือพระกาฬทั้งคู่ที่ต้องมาล่าล้างบางกันในเมืองไทย ฮวังจองมิน จะมาในมาดนักฆ่าผู้เป็นดั่งเงา ส่วน อีจองแจ จะมีสไตล์ดุดัน จัดจ้านทั้งฝีมือและการแต่งตัว อีกคนที่จะพุดถึงไม่ได้คือ พาร์คจองมิน ที่เป็นการเจอกันกับ ฮวังจองมิน ในรอบ 7 ปี นับตั้งแต่ภาพยนตร์เรื่อง New World ในปี 2013

หนังใหม่เต็มเรื่อง


หนังจะพูดถึง อินนัม (ฮวังจองมิน) นักฆ่ามือพระกาฬ ที่ปิดจ็อบสุดท้ายแล้วต้องมาสะสาง คดีลักพาตัวใครคนหนึ่งในเมืองไทย

ทว่าคนที่อินนัมเคยฆ่าตายนั้นเป็นพี่ชายของ เรย์ (อีจองแจ) แน่นอนว่า เรย์ จะต้องตามมาคิดบัญชีกับ อินนัม ซึ่งสนามแห่งคาวเลือดและควันปืนก็ต้องเป็นเมืองไทยบ้านเรานี่แหละ แม้จะมีอะไรที่น่าหงุดหงิดอยู่บ้าง แต่รวมๆแล้ว Deliver Us from Evil ถือว่าอยู่ในมาตรฐานที่ดูเอามันส์ใช้ได้ อีจุงแจ น่าสะพรึงกลัวมาก ตามล้างตามเช็ดได้โหดดี


หนังมีโลเคชั่นไทยแลนด์ แดนโลกีย์เป็นฉากหลัง ซึ่งก็ไม่ต่างจาก Extraction ของ คริส เฮมเวิร์ธ เท่าไหร่ เพียงแต่มันไม่ได้ถูกเซ็ตให้เป็นประเทศอื่น แต่มันพูดถึงเมืองไทย เมืองที่เต็มไปด้วยอะไรดำมืดในสายตาต่างชาติ เมืองที่พวกมันจะเข้ามาทำเถื่อนยังไงกันก็ได้โดยที่ตำรวจได้แค่วิ่งตามก้น หนังมีช่องโหว่ให้เผลออุทานว่า เหี้ยไรเนี่ย! เว็บหนัง HD อยู่นิดหน่อย ยกตัวอย่างเช่น การคุ้มกันอันหละหลวม ของสถานที่หนึ่งหรือสองที่ ที่ให้ตัวเอกเข้าไปเดินโทงๆได้ง่ายดายเหลือเกิน แต่หากมองข้ามไปแล้วเอาความดิบ ความมันส์ เอามาด ถือว่ามันได้ตอบโจทย์ได้ดีทีเดียวในทางหนังบู๊ หนังมีนักแสดงไทยทั้งที่คุ้นหน้ากันดี ทั้งสตั๊นท์แมน โผล่มาให้เห็นกันแบบที่ว่ามึงเอาใครมาเล่นก็ได้มั้ย อาจมีระดับ ปู วิทยา หรือ แฟรงค์ เดอะ สตาร์ กับ สน เดอะ สตาร์ มาแจมบ้าง แต่ก็ไม่ได้ส่งให้หนังดูมีมิติมากไปกว่าการเป็นหนังบู๊ล่าล้างแค้นช่วยลูกช่วยเมียแนว Taken ซึ่งคนดูจะโฟกัสที่ตัวแสดงนำไม่กี่ตัวกันอยู่แล้ว หนังมีตัวแย่งซีนได้ดีคือ บทกะเทยของ พัค จอง มิน ซึ่งหนังไม่ได้ยกตัวละครตัวนี้มาเป็นจุดขายสักเท่าไหร่ ทว่านี่คือบทที่ดูเป็นมนุษย์ที่สุดแล้วในหนัง เรื่องนี้ ฮวัง จุงมิน เป็นพระเอกที่โดนทั้งผู้ร้ายและกะเทยแย่งซีนไป เพราะการพยายามเป็น เลียม นีสัน ของแกมันดูจะซ้ำๆไปหน่อย


หนังถือว่าดูได้เพลินๆ คิวบู๊มันส์หยด เสียบกันเลือดพุ่ง ทางดราม่าก็ไม่ถือว่าล้นไปแบบที่หนังเกาหลีชอบทำ นี่ถ้าบอกว่าเอาหนัง เลียม นีสัน สักเรื่องมารีเมค ก็จะไม่สงสัยอะไรเลย ซึ่งแน่นอนว่าใครชอบแนว เลียม นีสัน ก็น่าจะสนุกกับเรื่องนี้ได้เช่นกัน

มีคนว่าฉันรับลูกๆ มาเลี้ยง เพราะเดินตามรอย ของ The Blind Side

เดิมทีบทคุณนาย ลีห์ แอนน์ ทูฮี ในหนัง The Blind Side (2009) ถูกส่งไปให้ จูเลีย โรเบิร์ต พิจารณาเป็นอันดับแรก แต่ถูกปฏิเสธเนื่องด้วยปัญหาเรื่องค่าตัว

เพราะนี่คือหนังทุนสร้างต่ำเตี้ย ที่แทบไม่มีจุดขายใดๆทั้งสิ้น บทหนังถูกส่งต่อไปยังมือของ แซนดร้า บูลล็อค (แสงดาว บุญล้อม) อีกหนึ่งยอดฝีมือแถวหน้าฝ่ายหญิง ที่ค่าตัวโหดไม่แพ้เจ๊จู แน่นอนว่าเจ๊แสงดาวปฏิเสธมันเช่นกัน อย่างแรกคือเรื่องของค่าตัว อย่างต่อมาคือมันเกี่ยวกับด้านศาสนาความเชื่อ เพราะครอบครัวที่เธอ จะไปรับบทนั้นเคร่งศาสนาสุดตีนถีบ


และเจ๊แซนไม่เก็ต เกรงว่าจะเข้าไม่ถึง ผู้กำกับ จอห์น ลี แฮนค็อก บอกเจ๊แสงดาวว่า มันไม่ใช่หนังศาสนานะเจ๊ นี่คือเรื่องราวความห่วงใยของมนุษย์ที่มีให้กัน มันพูดถึงโอกาสที่คนสักคนหรือครอบครัวสักครอบครัวจะมีให้ใครที่ไหนก็ไม่รู้ แต่ถึงกระนั้นเจ๊แสงดาว ก็ยังมองไม่ออกอยู่ดี เพราะบทหนังมันดูน้ำเน่าและแทบจะเป็นไปไม่ได้ แม้จะเขียนขึ้นมา โดยอิงจากเรื่องจริง ดูหนังฟรี แต่นี่มันคือการแต่งเสริมจินตนาการไปเยอะเลย มันน้ำเน่านั่นแหละพูดกันตามตรง จนกระทั่ง ผู้กำกับ จอห์น ลี แฮนค็อก ทนไม่ไหว จึงนัดเจ๊แสงดาวให้ไปคลุกคลีกับครอบครัวของคุณนาย  ลีห์ แอนน์ ทูฮี จริงๆมันซะเลย หลังจากใช้เวลาทั้งสัปดาห์ด้วยกัน เจ๊แสงดาวกลับออกมาจากบ้านของครอบครัวทูฮี แล้วตอบตกลงที่จะรับเล่นหนังเรื่องนี้ เพราะความสนุกสนานของครอบครัวนี้เป็นหลัก พวกเขาไม่ได้เคร่งศาสนาจนหน้าดำคร่ำเครียด และที่สำคัญ การบอกเล่าเรื่องราวของ ไมเคิล ออร์ ลูกบุญธรรมนักอเมริกันฟุตบอลของคุณนายทูฮี มันแทบจะไม่ต่างไปจากบทหนังเรื่องนี้เลย มันแทบจะเป็นเรื่องจริงทั้งนั้น มีหลักฐานเป็นรูปถ่าย,คลิปวีดิโอ และข้าวของต่างๆเต็มไปหมด มันน่าทึ่งว่าชีวิตคนๆหนึ่งหรือครอบครัวหนึ่งจะสามารถกลั่นออกมาเป็นบทหนังที่ค่อนไปทางน้ำเน่าได้ถึงขนาดนี้เลยหรือ แต่เจ๊แสงดาวเชื่อว่ามันคือเรื่องจริง แววตาของคุณนายทูฮีตอนที่พูดถึงลูกชายที่เธอรับมาเลี้ยงมันคือแววตาของคนเป็นแม่ที่รักลูกจริงๆ

ดูหนังฟรี

เจ๊แสงดาวมีข้อแม้ว่าหากเธอรับเล่นเรื่องนี้ เธอจะไม่ขอรับค่าตัวใดๆ

เพราะแค่เอาไปลงกับโปรดักชั่นก็น่าจะหมดแล้ว แต่เจ๊จะขอส่วนแบ่งเป็นเปอร์เซ็นต์จากรายได้ของหนังแทน ซึ่งก็ยุติธรรมดีเพราะอย่างที่บอก หนังแทบไม่มีจุดขายใดๆเลย แต่การมีอยู่ของดาราเบอร์ระดับ แซนดร้า บูลล็อค มันจะสามารถสร้างแรงจูงใจแก่คนดูได้ แต่ถึงแม้ว่าเจ๊แสงดาวจะลงไปเต็มตัวแล้ว เจ๊ก็ยังมองไม่ออกอยู่ดี เพราะบทหนังมันน้ำเน่ามาก แม้เจ๊จะรู้แล้วว่ามันคือเรื่องจริงกว่า 80% ก็เถอะ


หลังจากที่หนังลงโรงฉาย มันทำรายได้ถล่มทลายกว่า 309 ล้านเหรียญ จากทุนสร้างเพียง 29 ล้านเหรียญ และแน่นอนว่าเจ๊แสงดาวได้รับเปอร์เซ็นต์ส่วนแบ่งไปเต็มๆกว่า 20% ของหนัง แถมมันส่งผลให้เจ๊คว้ารางวัลออสก้าร์ในปีนั้นไปนอนกอด ในภายหลัง ไมเคิล ออร์ ตัวจริงออกมาแสดงความไม่พอใจกับบทของเขาในหนังที่อ้างว่าเขาไม่ได้ใส่ใจ หนังออนไลน์ การเรียนเท่าไหร่ เพราะความจริงเขาเป็นคนที่เรียนหนักและถือเป็นคนเรียนดีคนหนึ่งมาแต่ไหนแต่ไร แต่ในส่วนอื่นๆของหนังเขาไม่ติดขัด เพราะสาส์นที่หนังสื่อถึงครอบครัวที่เขารักนั้นมันดีมากๆ หลังจากหนังเข้าฉาย เจ๊แสงดาวตัดสินใจรับ หลุยส์ บาร์โด้ บูลล็อค บุตรบุญธรรมผิวดำมาเลี้ยง จะเรียกว่าอินก็ได้ แต่เจ๊บอกว่าเพราะหนังมันทำให้เจ๊อยากส่งต่อโอกาสให้เด็กซักคน และทุกวันนี้เจ๊ยังคงร่วมให้ความช่วยเหลือกับมูลนิธิเพื่อเด็กยากไร้ที่ก่อตั้งโดย ไมเคิล ออร์ ตัวจริง เจ๊แสงดาวรับ ไลลา บูลล็อค ลูกบุญธรรมผิวดำอีกคนมาเลี้ยงในปี 2015 เพราะลูกชายที่เธอรับมาเลี้ยงคนแรกบอกว่าอยากมีน้องสาว เธอบอกว่าการเข้ามาสู่ครอบครัวของลูกทั้งสองมันทำให้ชีวิตเธอมีเป้าหมายมากขึ้น และในอนาคตเธออยากรับเด็กไม่ว่าจะเชื้อชาติใดก็ได้เข้ามาเป็นลูกๆอีก


" ถ้าฉันไม่ได้ตัดสินใจไปเจอครอบครัวทูฮีในวันนั้น ฉันคงไม่ได้พบกับลูกๆอันเป็นที่รักของฉันในวันนี้ " เจ๊แสงดาวตัดสินใจรับเลี้ยงไม่ใช่เพราะอินในบทหรือเพราะหนังประสบความสำเร็จ เพราะเจ๊ติดต่อขอรับเลี้ยงเด็กคนแรกตั้งแต่ได้ไปเจอครอบครัวทูฮีตัวจริงแล้ว ไม่ใช่เพราะรายได้หรือรางวัลของหนังเลย

ดอนนี่ เยน ชีวิตเกือบล้มละลาย แต่ไม่สาย ถ้าคนมันจะดัง

เจิ้นจื่อตัน หรือชื่ออินเตอร์ Donnie Yen ในยุค 80-90 ต้องอยู่ภายใต้ร่มเงาความสำเร็จของ หลี่เหลียนเจี๋ย (Jet Lee)

เขาดูครบเครื่องเรื่องบู๊ แต่ก็ยังไม่ได้อยู่บนจุดสูงสุด ของดาราแถวหน้าในจีนและฮ่องกงอยู่ดี ช่วงยุค 90 ดอนนี่ เยน ต้องเดินทางไปมาระหว่าง ฮ่องกง-อเมริกา เพราะคุณแม่อยู่ที่บอสตัน แต่หลังจากที่เขาเปิดบริษัททำหนังชื่อว่า Bullet Films ก็ต้องประสบกับภาวะเกือบล้มละลาย เพราะหนังที่เขาทั้งแสดงและสร้างเองนั้นไม่ได้กำไรเลย


อย่างที่บอกว่าเขาอยู่ใต้ร่มเงา ดาราจีนรุ่นๆเดียวกันอย่าง เจ็ต ลี ดอนนี่ เยน ต้องกู้เงินจากบริษัทเงินกู้อย่าง Loan shark เพื่อความอยู่รอดของตนเองและลูกน้องในทีม จนกระทั่งเคลียร์ทุกอย่างจบเขาจึงเดินทางไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่อเมริกา ที่นั่นเขาจะได้ดูแลคุณแม่ที่เป็นครูสอนมวยจีนในบอสตันด้วย ทว่าเพชรก็ยังเป็นเพชรวันยังค่ำ ดูหนังฟรี ดอนนี่ เยน ได้พบกับ โรเบิร์ต เบอร์นาชชี่ โปรดิวเซอร์ผู้ที่กำลังมองหาแนวทางใหม่ๆให้หนังแอ็คชั่นฮอลลีวู้ด และมวยจีนคือแนวทางที่เขาสนใจนำมันมาผสมผสานกับหนังแอ็คชั่นฮอลลีวู้ด Highlander: Endgame หรือชื่อไทย ล่าข้ามศตวรรษ ภาคสุดท้าย คือหนังเรื่องนั้นที่ โรเบิร์ต เบอร์นาชชี่ ทดลองใช้ทีมงานของ ดอนนี่ เยน ถึงแม้ว่าจะเป็นหนังเกรดบีที่แทบจะตกยุคไปแล้ว แต่ในทางแอ็คชั่น มันได้สร้างความน่าตื่นตาตื่นใจให้ โรเบิร์ต เบอร์นาชชี่ อย่างมาก โรเบิร์ต เบอร์นาชชี่ เข้าเจรจากับค่าย New line และดาราอย่าง เวสลี่ย์ สไนป์ ที่เชี่ยวชาญในทางหมัดๆมวยๆอยู่แล้ว ว่าอยากสร้างหนังแอ็คชั่นที่มี ดอนนี่ เยน ออกแบบคิวบู๊ให้สไนป์แสดง บทสรุปลงเอยที่ Blade ภาค 2 ซึ่งจะเป็นการปฏิวัติคิวบู๊ให้มาในรูปแบบหนังแอ็คชั่นจีน ดอนนี่ เยน ได้รับเกียรติร่วมแสดงเป็น Snowman หนึ่งในสมาชิกทีม Bloodpack ที่มาเป็นพันธมิตรของ Blade ในการล่าล้างบางแวมไพร์

ดูหนังฟรี

ความโดดเด่นในการออกแบบคิวบู๊ รวมไปจนถึงมาดนิ่งเนี้ยบของ ดอนนี่ เยน ได้ไปเข้าตาผู้กำกับจีนอย่าง จางอี้โหมว

และได้ติดต่อให้ ดอนนี่ เยน มาแสดงบท ฟ้าเวิ้ง ในหนังกำลังภายใน Hero แต่แน่นอนว่า ดอนนี่ เยน ต้องกลับมาเจอดาราใหญ่ที่เขาอยู่ใต้ร่มเงาอย่าง เจ็ต ลี อีกครั้ง ซึ่งเยนก็ไม่ปฏิเสธแต่อย่างใด เพราะบทฟ้าเวิ้งในเรื่องนี้ถือว่ามีความโดดเด่นพอตัว ไม่ใช่ตัวร้ายให้ เจ็ต ลี กระทืบอย่างที่เขาเคยโดนมาในหนังฮ่องกงยุค 90


แม้กระทั่ง เฉินหลง เองที่แทบไม่เคยโคจรมาเจอกันกับ ดอนนี่ เยน เลยในหนังฮ่องกง(ส่วนใหญ่จะเจอกันตามงาน) ก็ยังเรียกตัว ดอนนี่ เยน ไปร่วมแสดงใน Shanghai Knights (2003) ซึ่งเป็นหนังที่ เฉินหลง จับมือกันกับสตูดิโอฮอลลีวู้ดสร้าง แต่หลังจากนั้นเหมือน ดอนนี่ เยน จะย้อนกลับไปสะสางปม ที่เขามีต่อหนังฮ่องกง เขาเชื่อว่าในวันที่เขา เริ่มกลับมามีชื่อในฐานะแอ็คชั่นสตาร์ อีกครั้งในฮอลลีวู้ด เขาจะกลับไปยิ่งใหญ่ที่จีนและฮ่องกงได้หรือไม่ หนังใหม่ชนโรง ดอนนี่ เยน กลับไปสร้างหนังแอ็คชั่นแนวทางของตนเองในฮ่องกงหลายๆเรื่อง ถึงตอนนี้เราคงได้รู้แล้วว่าเขาทำได้สำเร็จหรือไม่ หนัง Blade ภาค 2 คือภาคที่ เวสลี่ย์ สไนป์ ชอบที่สุดในบรรดาสามภาค ดอนนี่ เยน ยังคงร่วมงานกับ เจ็ต ลี ในหนัง Mulan เขาคิดเสมอว่าสไตล์ของเขาทั้งคู่แตกต่างกัน และ เจ็ต ลี คือคนที่น่านับถือและน่าวิ่งไล่ตามเป็นอย่างมาก


ดอนนี่ เยน ณ ตอนนี้คือนักแสดงที่ทั้ง จีน ฮ่องกง และ ฮอลลีวู้ด ไว้วางใจอยากให้เขามาร่วมแสดงในหนัง ปัจจุบันเขาอายุ 57 ปีแล้ว แต่ยังคงฟิตปั๋งและพยายามแสดงฉากบู๊ด้วยตัวเองให้ได้มากที่สุด

เล่นเป็นเพื่อนกัน แต่ดันทะเลาะกันในกองถ่าย แล้วหนังจะดีได้ยังไง

ระหว่างการถ่ายทำหนัง Red Planet (2000) สองนักแสดงนำอย่าง วัล คิลเมอร์ กับ ทอม ไซส์มอร์ มีเรื่องมีราวกันถึงขั้นลงไม้ลงมือ

เรื่องเกิดจากทีมงานสั่งเครื่องออกกำลังกายมาให้ ทอม ไซส์มอร์ ในออสเตรเลียที่เป็นโลเคชั่นถ่ายทำ แล้ว วัล คิลเมอร์ เกิดนึกรำคาญแกมหมั่นไส้ เลยตะโกนด่าๆแซะๆไปประมาณว่า " กูดังกว่า ทำเงินเยอะกว่า ยังไม่เรื่องมากเท่ามึงเลย " หลังจากนั้นทั้งคู่ก็ทะเลาะกัน ก็ถึงขนาดที่ ทอม ไซส์มอร์ ทุ่มที่ยกน้ำหนัก 50 ปอนด์ ไปยัง วัล คิลเมอร์


แล้วทั้งคู่ก็ไม่คุยกันอีกเลยตลอดการถ่ายทำ แถมยังมีชกต่อยกันด้วย เป็นทางฝั่ง ทอม ไซส์มอร์ ที่ไปชักหน้าอก วัล คิลเมอร์ งานไปงอกที่ทีมงานรวมไปถึงฝ่ายตัดต่อ ฝ่ายเสียงก็ด้วย เพราะไอ้สองตัวนี่มันไม่ยอมเข้าฉากด้วยกัน ไม่คุยกันเลย แล้วคือแม่งต้องเล่นเป็นเพื่อน ที่รักกันมากในเรื่อง ดูหนังออนไลน์ จะยกเลิกสัญญาก็ไม่ได้ จึงต้องใช้วิธีถ่ายแบบลับหน้าลับหลังผ่านไหล่กัน เช่น ซีนไหนที่มันต้องยืนคุยกันซึ่งๆหน้า ก็จะมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งที่เห็นแค่ไหล่กับหลัง บางซีนถึงขนาดต้องใช้ซีจีช่วยหากมีอันต้องเดินตีคู่กันไป ปวดหัวไปทั้งกอง วันไหนที่ ทอม ไซส์มอร์ อยู่ในกองถ่าย วันนั้น วัล คิลเมอร์ ก็จะไม่ออกมานอกรถเทรลเลอร์ที่เป็นที่พักนักแสดงหลัก เวลามีฉากที่จะต้องสนทนากัน วัล คิลมอร์ ปฏิเสธที่จะเรียกชื่อตัวละครของทอม งานนี้ต้องยอมใจทีมงานจริงๆโดยเฉพาะผู้กำกับ แอนโธนี ฮอฟแมน ที่กำกับหนังแค่เรื่องเดียวก็ไมเกรนแดก แล้วก็ไม่มีผลงานกำกับอีกเลย

ดูหนังออนไลน์


ที่โหดคือ วัล คิลเมอร์ กับ ทอม ไซส์มอร์ นั้นก่อนจะถ่ายเรื่องนี้ พวกเขาเป็นเพื่อนสนิทกัน

สนิทตั้งแต่แสดงหนัง True Romance ของผู้กำกับ โทนี่ สก็อตต์ และ Heat (1995) ของ ไมเคิล มานน์ ด้วยกันแล้ว และก็เป็น วัล คิลเมอร์ นี่แหละที่ช่วยให้ ทอม ไซส์มอร์ ได้บทในหนัง Red Planet เรื่องนี้ แต่สำหรับ วัล คิลเมอร์ ในตอนนั้นถือว่าเป็นดาราที่ดังกว่า ทอม ไซส์มอร์ เพราะได้ผ่านการรับบทในหนังดังๆหลายเรื่องเช่น Batman กับ The Saint


ส่วนพี่ทอมก็ถือเป็นดาราสมทบที่งานชุกเช่นกัน เพราะผ่านการแสดงสมทบในหนังใหญ่ๆมาพอสมควร มันก็เลยค่อนข้างมีอีโก้กันทั้งคู่ จนลงเอยด้วยการฟาดปากกันในกองในที่สุด เมื่อไม่กี่ปีมานี้ ทอม ไซส์มอร์ บอกว่าเขากับ วัล คิลเมอร์ ได้กลับมาพูดคุยกันแล้ว ซีรี่ย์ Netflix และเป็นเพื่อนกันเช่นเดิม ลืมความบาดหมางกันไปหมดแล้ว แต่คนที่น่าเห็นใจกลับเป็นผู้กำกับ แอนโธนี ฮอฟแมน ที่หนังออกมาเละเทะ เพราะดาราไม่ลงรอยกัน ต้องใช้เทคนิคและความคิดหนักกว่าเดิมหลายเท่าเพื่อถ่ายให้ไอ้สองตัวนั่นออกมา ในหนังเหมือนเป็นเพื่อนรักกันจริงๆ


หนังงบ 80 ล้านเหรียญ เรื่องนี้กลายเป็นความหายนะ เพราะทั้งโดนด่าและขาดทุน ทำรายได้ไปแค่ 33 ล้านเหรียญ ทั่วโลก แล้วผู้กำกับ แอนโธนี ฮอฟแมน ก็ไม่กลับมาทำหนังอีกเลยจนปัจจุบัน

หนังที่ตั้งใจทำเป็นจักวาลคู่ขนาด แต่กลายเป็นหนัง แซะ Fast ไปซะได้

หนัง Torque(บิดทะลวง)ปี 2004 คือหนังที่ถูกสร้างมาเพื่อวัดรอยยางรถกับ The Fast and the Furious

โดยตรง ในทีแรก นีล มอริทซ์ โปรดิวเซอร์ของหนังตั้งใจจะให้มันเป็นจักรวาลคู่ขนานที่รอวันมาบรรจบกัน เพราะทั้งสองเรื่องล้วนเป็นผลงานการสร้างของเขาทั้งคู่ เขาตั้งใจให้ Torque คือหนังตัวแทนสายแว้นมอร์ไซค์ ส่วน Fast ก็คือตัวแทนสายรถยนต์


ทว่าผู้กำกับ โจเซฟห์ คาห์น แกนึกหมั่นไส้เหี้ยอะไรหนัง Fast ไม่รู้ (ขณะนั้นหนังFastยังมีแค่ 2 ภาค) แกเลยใส่บทแซะๆหนังรถยนต์เรื่องดังชนิดที่ว่าเหมือนเขาไปฉี่ใส่กองถ่ายมึง คือล่อกันตั้งแต่ฉากเปิดเรื่องเลย มีรถยนต์สองคันแข่งกันคล้ายๆ Fast นั่นแหละ แล้วก็มี ดูหนังออนไลน์ มอร์ไซค์บิ๊กไบค์ขับมาจะแซงรถยนต์สองคัน แต่รถยนต์ไม่ยอม แถมทำเหมือนรถมอร์ไซค์เป็นตัวน่ารำคาญ สุดท้ายมอร์ไซค์ยกล้อแซงรถยนต์ทั้งสองคันไปแบบไม่เห็นฝุ่น บิ๊กไบค์วิ่งฉิวผ่านป้ายๆหนึ่งข้างทางจนหมุนติ้วๆๆ ตัวหนังสือมองเห็นลางๆเป็นคำว่า "Cars suck" นั่นคือคำแซะโดยตรงส่งไปยังหนัง Fast

ดูหนังออนไลน์

อีกแซะหนึ่งที่น่าแปลกใจว่าทำไม นีล มอริทซ์ โปรดิวเซอร์ของหนัง

ถึงได้ปล่อยให้ผ่านสู่จอ เป็นฉากที่พระเอกพูดกับแฟนสาวว่า "I live my life a quarter mile at a time" (ฉันใช้ชีวิตครั้งละหนึ่งในสี่ไมล์) ใช่!! มันคือคำพูดเท่ๆของดอมในหนัง Fast ภาคแรก แต่นางเอก Torque ตอบกลับพระเอกไปว่า " That's the dumbest thing I've ever heard"(นั่นคือสิ่งที่โง่ที่สุดที่ฉันเคยได้ยินมาเลย)


แน่นอนว่าแซะกันขนาดนี้ไม่น่าจะมาบรรจบกันได้ แต่ถึงแม้จะไม่ได้มีการแซะใดๆ หนังอย่าง Torque ก็ถือเป็นหนังที่ไม่มีอนาคตอยู่ดี เพราะทั้งคำวิจารณ์ และรายได้นั้นสวนทางกับความทะเยอทะยาน ที่จะวัดรอยยางไหม้ของ Fast มากๆ เป็นหนังที่ เว็บดูหนัง ไอซ์ คิวบ์ ยอดแร็ปเปอร์แทบไม่อยากพูดถึงมัน ว่ากันว่าที่ ไอซ์ คิวบ์ ได้บทยอดสายลับแทนที่ วิน ดีเซล ในหนัง xXx: State of the Union นั่นเพราะ นีล มอริทซ์ ถือเป็นการขออภัยแก่แรปเปอร์รุ่นใหญ่เพื่อนเขา แต่แม่งก้ไม่ได้ดูดี มีอนาคตไปกว่ากันเลยจริงๆ


หรือจริงๆแล้ว นีล มอริทซ์ แกพยายามปั่นให้จักรวาล Torque และ Fast ไม่ถูกกันตั้งแต่แรกเพื่อที่วันใดวันหนึ่งได้มาบรรจบกันจะได้ซัดกันมันส์ๆ แต่อย่างที่เห็นนั่นแหละ หนังแม่งเหี้ยห่าหมาเห่ามากๆ

วันศุกร์ที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2563

สปีลเบิร์ก เคยปลอมเป็นเด็กกองถ่าย เลยทำให้เขา อยากทำหนังต้มตุ๋น

เชื่อไหมว่าหนังอย่าง  Catch Me If You Can มันคือหนังอินดี้ ไม่ใช่หนังฟอร์มยักษ์อะไรเลย

เดิมที สตีเว่น สปีลเบิร์ก ไม่ใช่คนที่จะกำกับหนังที่สร้างจากชีวิต แฟรงค์ อบาเนล  นักต้มตุ๋นชื่อดังเรื่องนี้ด้วยซ้ำ เขาแค่รับหน้าที่โปรดิวเซอร์ และวางตัวผู้กำกับดังหลายๆคนอาทิ เดวิด ฟินเชอร์ , กอร์ เวอร์บินสกี้ หรือ คาเมรอน โครว์ เป็นตัวเลือกแรกๆ แต่โปรเจ็คไม่คืบหน้า เหตุผลหลักๆเลยคือ แฟรงค์ อบาเนล  อาจไม่ใช่ฮีโร่หรือบุคคลที่น่าเชิดชูนัก จนกระทั่งสปีลเบิร์กตัดสินใจกำกับมันเองกับมือ


สปีลเบิร์กปั้นโปรเจ็คนี้ขึ้นมาเพราะชื่นชอบการปลอมตัว การต้มตุ๋น มันเป็นปมสนุกๆในใจเขามาตั้งแต่วัยหนุ่ม สมัยอายุ 16 ปี เขาเคยปลอมตัวเป็นทีมงานเข้าไปแอบเรียนรู้งานเบื้องหลังการสร้างหนังในสตูดิโอฮอลลีวู้ด ไม่มีใครสามารถจับเขาได้ หลายๆคน เชื่อว่า หนังใหม่เต็มเรื่อง ไอ้หนุ่มน้อยคนนี้คือคนในวงการจริงๆ ตลอดช่วงซัมเมอร์ สปีลเบิร์กสนุกสนานกับการปลอมตัวเป็นคนในวงการมาก เขาปลอมตัวเป็นทั้งฝ่ายประสานงาน ไปจนถึงเป็นโปรดิวเซอร์ ได้พูดคุยกับดาราดังๆหลายคนในขณะนั้นด้วย ลิขสิทธิ์ถูกขายผ่านมือมาหลายมือมากตั้งแต่ปี 1980 แล้ว จากหนังสือที่ แฟรงค์ อบาเนล เขียนเรื่องตัวเองขึ้น มันมาตกอยู่ที่ DreamWorks Pictures ที่มี สตีเว่น สปีลเบิร์ก เป็นหัวเรือใหญ่ แล้วถูกแช่อยู่แบบนั้นนานพอดู มันน่าจะเป็นโปรเจ็คท้ายๆด้วยซ้ำที่สปีลเบิร์กจะขุดขึ้นมาสร้าง และไม่ได้จะกำกับเอง เขาแค่อุ้มโปรเจ็คไว้เพราะชื่นชอบเรื่องราวของนักต้มตุ๋นแค่นั้น ทว่าชะตาได้ลิขิตมาแล้วว่าเขาต้องกำกับมันเอง เขาจึงตัดสินใจทำให้มันจบๆไป เขามีแค่ ลีโอนาโด้ ดิคราปริโอ้ อยู่ในมือ หนังจะขายตัว แฟรงค์ อแบ็กเนล เพียวๆคนเดียว ทั้งที่โปรดิวเซอร์บางคนในทีมค่อนข้างไม่เห็นด้วยกับตัวเลือกนี้ เพราะว่ากันว่า แฟรงค์ อแบ็กเนล เขาดูเป็นผู้ใหญ่เกินอายุมาตั้งแต่ยังวัยรุ่น แต่ลีโอนาโด้นั้นใครๆก็รู้ดีเรื่องความหน้าเด็กของเขา ทว่าสปีลเบิร์กยืนยันว่าลีโอนาโด้นี่แหละของจริง

หนังใหม่เต็มเรื่อง


จุดเปลี่ยนอีกอย่างอยู่ตรงที่การมาของ ทอม แฮงคส์ ที่บังเอิญได้อ่านบทหนังเรื่องนี้แล้วชอบมาก

เขาจึงโทรขอร้องทั้งสปีลเบิร์ก และ ดิคราปริโอ ให้รับเขาเข้ามาในโปรเจ็ค ทีแรกสปีลเบิร์กไม่แน่ใจว่า ทอม แฮงคส์ จะรับได้หรือเปล่าที่ดาราบารมีระดับเขาจะยอมเล่นเป็นตัวสมทบ ทอม แฮงคส์ บอกไม่เป็นไร กระทั่งทีมเขียนบทต้องรื้อบทเพิ่มความเด่นให้บท คาร์ล แฮนแรตตี้ จากบท FBI ผู้ตามล่าตามจิก แฟรงค์ อบาเนล


จากตัวสมทบคนหนึ่งให้เป็นตัวหลักตีคู่กับบทแฟรงค์ อบาเนล เพราะพลังดาราของ ทอม แฮงคส์ ไม่ควรแค่รับบทสมทบธรรมดาๆ ถึงตอนนี้พวกเขาเป็นทีมที่แข็งแกร่งตั้งแต่ยังไม่เปิดกล้อง ทันทีที่ประกาศข่าวโปรเจ็คนี้ คนดูก็พร้อมจะควักเงินซื้อตั๋วกันแล้ว สปีลเบิร์ก + ดิคราปริโอ + ทอม แฮงคส์ นี่มันโคตรโปรเจ็คชัดๆ จากการที่เดิมทีสปีลเบิร์กไม่ได้ตั้งใจจะกำกับเอง เพราะเขาติดพันกับโปรเจ็คยักษ์อย่าง Minority Report ที่ทำกับ ทอม ครูซ ทำให้ หนังออนไลน์ Catch Me If You Can ถูกถ่ายทำกันอย่างเร่งรีบและงบที่จำกัด ระยะเวลาการถ่ายทำ 52 วัน หนังก็เสร็จสิ้น ซึ่งถือว่าเป็นหนังที่ถ่ายทำกันไวมากถ้าเทียบกับชื่อชั้นของทีมงาน มันอาจเป็นเพราะความเป็นมืออาชีพและความเป๊ะ ทำให้การถ่ายทำไม่สะดุดอะไรทั้งสิ้น Catch Me If You Can ถูกขนานนามโปรเจ็คว่าเป็นหนังอินดี้ที่เปลือกนอกคือหนังระดับบล็อคบัสเตอร์ คือไล่ดูชื่อทีมงานทั้งผู้กำกับและนักแสดง ใครๆก็คิดว่านี่มันโคตรโปรเจ็คทุน 100 ล้านขึ้นไป แต่เปล่าเลย มันคืองานทุนต่ำจนแทบจะเป็นหนังอินดี้ ส่วนหนึ่งเพราะสองดารานำต้องยอมลดค่าตัวลงเหลือไม่ถึงครึ่งจากที่ควรจะได้จากหนังเรื่องอื่น เพราะหนังถูกวางงบไว้แค่ 40 ล้าน แม้สุดท้ายงบจะเกินไปเป็น 50 ล้านก็ตาม ปี 2002 สตีเว่น สปีลเบิร์ก มีหนังของเขาเข้าฉาย 2 เรื่อง เรื่องแรก Minority Report ฉายช่วงกลางปี ทุนสร้าง 100 ล้านเหรียญ ทำรายได้ไป 358 ล้านเหรียญ ถือว่าเกือบหลุดฟอร์มไปเหมือนกันเพราะคาดการณ์กันว่าหนัง ทอม ครูซ เรื่องนี้จะทำรายได้ระดับ 400-500 ล้าน


แต่กับหนังอินดี้อย่าง Catch Me If You Can ที่วางโปรแกรมฉายไว้ช่วงคริสมาสต์ กลับทำรายได้ไป 352 ล้านเหรียญทั่วโลก อย่างไรก็ดี หนังทั้งสองเรื่องของพ่อมดฮอลลีวู้ดก็ทำให้ทุกฝ่ายหน้าบานกันถ้วนหน้า โดยเฉพาะเรื่องหลัง